Travel Myanmar https://tourisminmyanmar.com.mm/th Be Enchanted Thu, 03 Nov 2022 10:45:02 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.3 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/wp-content/uploads/2019/03/fav-travel-150x97.png Travel Myanmar https://tourisminmyanmar.com.mm/th 32 32 ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติและวัฒนธรรมของเมียนมาร์ https://tourisminmyanmar.com.mm/th/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%81/ Thu, 03 Nov 2022 10:37:29 +0000 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/?p=16308 เนื่องจากแม่น้ำอิระวดีเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลจากเหนือจรดใต้และเป็นประตูสู่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำของมหาสมุทรในประเทศเมียนมาร์ สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติและความมีชีวิตชีวาที่น่าตื่นตาตื่นใจของเอเชีย ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม แฟชั่น อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวในเมียนมาร์เป็นอีกจุดหมายของการท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด

เมียนมาร์เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษมานานกว่าร้อยปี เป็นสนามรบระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นประเทศที่รอดพ้นจากการรุกรานของจีนถึง 4 ครั้งตลอดประวัติศาสตร์ เมียนมาร์จึงเป็นประเทศที่ได้ผ่านความผันผวนมามากมายพอสมควร แม้กระทั่งทุกวันนี้ ยังคงมีการเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยของชาวเมียนมาร์ จึงจะไม่ขอกล่าวถึงในกรณีนี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความพิเศษของประเทศที่เต็มไปด้วยมรดกอันทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมทำให้ประเทศเมียนมาร์ยังคงมีมนต์เสน่ห์ในสายตานักท่องเที่ยว ชุดพื้นเมืองลองยียังคงสวมใส่กันทั้งชายและหญิง แม้กระทั่งในเมือง ลองยีเป็นผ้าโสร่งที่นุ่งได้ทุกวัยทั้งชายและหญิงสวมใส่ได้หลายรูปแบบ การทาหน้าด้วย ‘ทานาคา’ สีนวลสดใสจากเปลือกไม้ เพื่อป้องกันแสงแดดและบำรุงผิวเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่น่าชื่นชม

ย่างกุ้ง

เมืองย่างกุ้งอาจไม่สะดุดตาในตอนแรกเท่าไหร่นัก แต่เมื่อได้นั่งหรือขับรถจากสนามบินมายังใจกลางเมืองและได้เห็นเจดีย์ชเวดากองที่ตั้งโดดเด่นอยู่ทางขวามือ จะทำให้เปลี่ยนใจอย่างรวดเร็วว่าย่างกุ้งเป็นสถานที่ที่น่าค้นหาเต็มไปด้วยสิ่งแปลกใหม่ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ประสบการณ์ประทับใจขณะที่อยู่ในย่างกุ้งกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในเมียนมาร์

ทัวร์มรดก

หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการทำความรู้จักกับย่างกุ้งคือการเดินเที่ยวชมเมือง และเหนือสิ่งอื่นใดขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้เริ่มต้นการเดินเที่ยวด้วยทัวร์มรดกของเมืองที่จัดโดย Yangon Heritage Trust เป็นองค์กรที่ทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอาคารเก่าจากการถูกรื้อถอน ส่วนหนึ่งของรายได้มาจากค่าบริการทัวร์ของนักท่องเที่ยว  โดยจะได้รับรู้ข้อมูลและความรู้มากมายที่ช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ได้อย่างลึกซึ้ง มีอาคารมรดกมากกว่า 2,000 แห่งในเมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของย่างกุ้งอยู่มากมาย แม้จะปกคลุมไปด้วยวัชพืชที่ขึ้นรกแต่กลับทำให้ราวกับว่ายังคงสภาพเดิมเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อน

สถานที่จะได้ชมเมื่อเดินทัวร์ในย่างกุ้ง

การเดินทัวร์จากสวนสาธารณะมหาบันดูลา ทำให้เห็นทัศนียภาพ 360 องศาของเมืองย่างกุ้งที่หาจากที่ไหนไม่ได้ จากจุดนี่จะเห็นเส้นขอบฟ้าสูงตระหง่านของเมืองใหม่ พร้อมกับอนุสาวรีย์ทางศาสนาและอาคารยุคอาณานิคมในเวลาเดียวกัน หากมองจากด้านบนของสวนสาธารณะ จะสังเกตเห็นเสาของอนุสาวรีย์ที่อยู่ตรงกลางสวนสาธารณะสร้างเป็นรูปดาวแสดงธงชาติเก่าของเมียนมาร์

ศาลากลาง : มองเห็นได้จากสวนสาธารณะมหาบันดูลา อาคารหลังนี้เดิมได้รับการออกแบบในสไตล์อังกฤษ แต่ในขั้นสุดท้าย ได้มีการออกแบบเพิ่มเติมเพื่อแสดงเอกลักษณ์ของเมียนมาร์ ได้แก่ หลังคาฉัตรและซุ้มประตูแทนแนวเสา ทำให้เป็นอาคารที่มีงานศิลปะผสมผสานและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ถนนเบนโซเลน : เป็นจุดแวะชมสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคมในปี พ.ศ.2463 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม จะได้เห็นอาคารของการท่าเรือแห่งเมียนมาร์ เรือทุกลำจะผ่านที่นี่แสดงให้เห็นว่าเมียนมาร์เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าของอาณานิคมมายาวนาน

ศาลแขวง : อาคารโบสถ์ฝรั่งในสไตล์ฟลอเรนซ์แห่งนี้ ยังคงถูกใช้เป็นสำนักงานของหน่วยงานราชการ แม้จะได้รับความเสียหายจากระเบิดในสงครามและยังไม่ได้รับการซ่อมแซมก็ตาม หน้าต่างหลายบานขาดหายไป และที่น่าทึ่งเป็นอย่างมากคือต้นไม้ที่เติบโตขึ้นเหนืออาคารนี้ รวมถึงหอคอยด้านหลังที่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซมกลับเพิ่มเสน่ห์ให้กับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก

การเดินเที่ยวชมรอบเมืองเป็นลักษณะวงกลมเริ่มต้นที่สถานีรถไฟกลางย่างกุ้ง ที่มีสถาปัตยกรรมโครงสร้างอาคารที่น่าประทับใจ ระหว่างการเดินไปที่สถานีรถไฟจะผ่านเจดีย์หลายแห่ง และจะได้พบเห็นสิ่งที่น่าสนใจก่อนที่จะขึ้นรถไฟเสียอีก เนื่องจากวิถีชีวิตประจำวันของชาวเมียนมาร์เริ่มต้นภายในสถานีเลย

เมื่อซื้อตั๋วที่ชานชาลาแล้วเผื่อใจไว้กับตารางเดินรถของเมียนมาร์ที่ไม่เป็นไปตามกำหนดเวลาตามตาราง ดังนั้นเมื่อรถไฟมาถึงจะพบว่ามีความโกลาหลอยู่พอสมควรเป็นความท้าทายอีกรูปแบบหนึ่งไปพร้อมกับผู้คนอื่น ๆ

เจดีย์ชเวดากอง : หนึ่งในเจดีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นที่ประดิษฐานพระบรมเกศาธาตุ(เส้นผม)ของพระพุทธเจ้าอยู่ในส่วนกลางขององค์เจดีย์ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 6 เป็นสถานที่ที่สงบร่มรื่นที่มีเพียงเสียงระฆังและเสียงน้ำไหล จัดเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดังที่สุดในเมียนมาร์

เมืองพุกาม

พุกามเป็นสถานที่พิเศษจริงๆ เมื่อกล่าวถึงเมียนมาร์ พุกามมักจะถูกกล่าวถึงด้วยเสมอ จากภาพถ่ายที่กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงความสวยสดงดงามของธรรมชาติ

ทัศนียภาพของเมืองพุกามจากมุมสูงบนบอลลูนลมร้อน ทำให้เห็นเจดีย์วัดกว่า 20,000 องค์ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ทำให้พุกามเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดที่น่าท่องเที่ยวในเมียนมาร์

หากรักการถ่ายภาพ ที่นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ถ่ายภาพที่สวยงามและน่าทึ่งแห่งหนึ่งของโลก ภาพที่ได้จะราวกับหลงทางในวงกตของวัดวาที่เต็มไปด้วยโบราณสถานและสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์

บัตรและค่าธรรมเนียม: ค่าบัตร 27,000 จ๊าดหรือประมาณ 20 ดอลลาร์ หาซื้อได้ที่สนามบินเพื่อเข้าชมเขตโบราณสถาน ที่นั่นนักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมเจดีย์วัดได้ตามอัธยาศัย  มีตู้เอทีเอ็มที่สนามบินพุกามไว้คอยบริการเพื่อความสะดวกอีกด้วย

วัดสุลามณี วัดอิฐสีแดงถูกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 12 ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในพุกาม เนื่องจากมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังภายในที่วิจิตรและงดงามอย่างยิ่ง ยังมีแผงขายของที่ระลึกมากมายรายรอบวัดอีกด้วย

วัดธรรมะยานจี วัดที่ใหญ่ที่สุดในพุกามมีสถาปัตยกรรมงานอิฐที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี และเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเคารพเลื่อมใสในพุทธศาสนาของผู้คน การออกแบบมีความสวยงามคล้ายกับปิรามิดแห่งเมโสอเมริกา เมื่อได้เที่ยวชมสถานที่แห่งนี้พอสมควรแล้ว แนะนำให้เดินออกมานอกวัดระยะหนึ่ง เมื่อหันกลับมาจะเห็นอีกมุมหนึ่งของวัดที่งดงาม

เมืองมัณฑะเลย์

Orwell และ Kipling และบทเพลงมากมายที่กล่าวถึงเมืองมัณฑะเลย์ เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผู้คนรู้จักเมืองนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังไม่รู้ว่าจะสามารถทำกิจกรรมอะไรได้บ้างเมื่อมาเที่ยวที่เมืองนี้ ทำให้เสน่ห์และความน่าสนใจของเมืองลดทอนลงอย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ดี การแวะเที่ยวเมืองมัณฑะเลย์ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ระหว่างท่องเที่ยวในเมียนมาร์ นับเป็นอีกหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดและควรค่าแก่การเที่ยวชม แม้ว่าจะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม อีกสถานที่หนึ่งที่ควรไปคือสะพานอูเบ็ง เป็นสะพานที่น่าทึ่งแห่งหนึ่งในเอเชีย

สะพานอูเบ็ง ถ้าคุณจะไปเที่ยวที่ใดที่หนึ่งในมัณฑะเลย์ ก็ขอให้เป็นที่นี่เถิด เป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ทอดยาวผ่านทะเลสาบตองทะมานกว่า 1.2 กิโลเมตร มีอายุมากกว่า 200 ปี กล่าวได้ว่า สะพานอูเบ็งเพียงแห่งเดียวก็นับเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในเมียนมาร์แล้ว

นอกจากนี้ ยังจะเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์สองข้างทางของสะพานอีกด้วย ไม่ว่าจะเดินข้ามสะพานตลอดระยะทางเพื่อชมวิวที่สวยงาม จะต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้ลื่นพลัดตกจากสะพานเนื่องจากไม่มีราวกั้นแต่อย่างใด จึงค่อนข้างน่าหวาดเสียวพอสมควรในเวลาพลบค่ำ หรือจะนั่งเรือพายที่มีสีสันสดใสออกไปยังทะเลสาบ ค่าเช่าเรือประมาณ 20,000 จ๊าด ซึ่งนั่งได้สี่คน จะได้เห็นวิวจากบนเรือที่สวยงามมาก

เจดีย์กุโสดอร์ เจดีย์สีทองที่น่าตื่นตาตื่นใจรายล้อมด้วยมณฑปสีขาวหลายร้อยองค์ด้วยกัน แต่ละมณฑปมีแผ่นหินอ่อน รวมทั้งหมด 726 แผ่น ที่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าจารึกไว้ นับเป็นสถานที่น่าทึ่งอีกแห่งหนึ่ง และเมื่อได้ไปเยี่ยมชมเจดีย์หลายแห่งในมัณฑะเลย์มาแล้วนั้น ขอสารภาพว่าที่นี่เป็นสถานที่หนึ่งที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ถ่ายภาพลูกแมวแทนที่จะเที่ยวชมเจดีย์แต่ก็นับว่าคุ้มค่า สถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่นิยมสำหรับการถ่ายภาพงานแต่งงาน ดังนั้นอาจจะได้พบเห็นคู่บ่าวสาวที่กำลังถ่ายรูปอย่างมีความสุขอีกด้วย

วัดชเวนันดอ วัดที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ได้อย่างน่าอัศจรรย์พร้อมกับงานแกะสลักที่วิจิตรบรรจง ทำให้เพลิดเพลินกับการเที่ยวชมและถ่ายรูปเป็นอย่างมาก วัดยังอยู่ไม่ไกลจากเจดีย์สัณฑมุนีอีกด้วย ผลงานการก่อสร้างของวัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของวัดไม้แบบดั้งเดิมในสมัยศตวรรษที่ 19 ของเมียนมาร์ และยังเคยเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังหลวงของเมียนมาร์อีกด้วย ที่นี่เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่โปรดปรานที่สุดและเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการเที่ยวชมเมียนมาร์

ทะเลสาบอินเล

ทะเลสาบอินเลตั้งอยู่ในรัฐฉาน หนึ่งในภูมิภาคที่งดงามและดินแดนที่เต็มไปด้วยภูเขาของประเทศ ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 3,000 ฟุตและให้ความรู้สึกราวกับได้ก้าวเข้าสู่ภาพวาดสมัยดั้งเดิมที่ไม่เคยสัมผัสกับความทันสมัยมาก่อน ที่นี่จะเดินทางโดยเรือเป็นส่วนใหญ่ มีคลองผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ เรือนแพกับไม้ค้ำถ่อ ฟาร์มน้ำ และแนวเทือกเขาที่อยู่ด้านหลังเป็นทิวทัศน์ที่พบเห็นได้ทั่วไป เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่โดดเด่นงดงามและร่มรื่นที่สุดในเมียนมาร์

ทะเลสาปแห่งนี้ ยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวฉานอีกด้วย สังเกตได้จากเสื้อผ้าเนื้อหนาที่ชาวบ้านสวมใส่จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในส่วนนี้ของประเทศ สีสันที่สดใสและวิถีชีวิตเป็นแบบดั้งเดิมด้วยงานฝีมือ เช่น การทอผ้าใยบัว การตกปลา และการทำฟาร์ม เป็นเอกลักษณ์ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และยังจะได้พบกับครอบครัวที่ใช้ผ้าทอแบบเฉพาะเพื่อจับปลาบางชนิด ทำให้มีเพียงพวกเขาที่สามารถจับปลาชนิดนี้ได้ ไม่ควรพลาดตลาดน้ำเรือยาวที่จำหน่ายเสื้อผ้าท้องถิ่นเหล่านี้ ในปลายเดือนกันยายนของทุกปีจะมีการแข่งเรือ เนื่องจากการพายเรือด้วยเท้าที่แปลกตาและมีการฝึกกันเฉพาะในส่วนนี้ของประเทศเท่านั้น การชมการแข่งเรือที่นี่จึงไม่เพียงแต่สนุกสนานอย่างน่าสนใจ ยังเป็นโอกาสที่จะได้เห็นการฝึกฝนการพายเรือด้วยเท้าอันเป็นเอกลักษณ์นี้ได้อย่างน่าทึ่งอีกด้วย

]]>
ท่องเที่ยวพุกามด้วยรถจักรยานไฟฟ้า https://tourisminmyanmar.com.mm/th/%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%9e%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b8%96%e0%b8%88/ Thu, 03 Nov 2022 10:33:49 +0000 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/?p=16304 Heavenly Yu Bagan พุกามเป็นหนึ่งของจุดหมายปลายทางที่ไม่อาจพลาดได้ในการท่องเที่ยวเมียนมาร์ และเมื่อไม่นานมานี้ ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 จากการเสนอหนึ่งใน 36 รายชื่อ พุกามเป็นที่ตั้งของเจดีย์ วัด อารามและอนุสาวรีย์ต่าง ๆ ที่ถูกสร้างด้วยอิฐสีแดงมากกว่า 3,500 แห่ง กระจายอยู่ทั่วไปตามที่ราบเขียวขจีในพุกามจึงพบเห็นเจดีย์วัดได้ทุกหนทุกแห่ง มีหลากหลายวิธีในการเที่ยวชมเขตโบราณสถานเหล่านี้ โดยรถยนต์ รถม้า รถจักรยาน และรถจักรยานไฟฟ้า หากชอบอิสระในการท่องเที่ยวและไม่เหนื่อยจนเกินไป วิธีที่ดีที่สุดคือรถจักรยานไฟฟ้า และมีค่าใช้จ่ายไม่มากอีกด้วย เป็นสิ่งที่ควรรู้เพื่อให้การเที่ยวชมเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจและคุ้มค่า

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเยี่ยมชมพุกาม คือตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายนเป็นช่วงฤดูฝน ถึงแม้ฝนจะไม่ตกมากแต่เพราะพุกามตั้งอยู่ในโซนแล้ง เวลากลางวันอากาศจะร้อนมากไม่เหมาะในการท่องเที่ยว หากวางแผนที่จะขึ้นนั่งบอลลูนลมร้อนเพื่อชมเมืองจากมุมสูง ควรหลังจากผ่านฤดูฝนไปแล้ว และควรตรวจสอบช่วงเวลาการให้บริการด้วย

รถจักรยานไฟฟ้าคืออะไร คือจักรยานที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้แบตเตอรี่ มันมีคุณสมบัตรของมอเตอร์ไซค์ครบทุกอย่าง เช่นแตร เบรค สตาร์เตอร์ ไฟ และที่เก็บของใต้เบาะและตะกร้าหน้า การใช้จักรยานไฟฟ้านั้นง่ายมากและไม่แตกต่างจากการใช้จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์มากนัก ถ้าคุณรู้วิธีขับมอเตอร์ไซค์หรือขี่จักรยาน คุณก็จะรู้วิธีการขี่จักรยานไฟฟ้าได้อย่างแน่นอน และจดจำไว้ว่าเมียนมาร์ขับรถชิดขวา

นักท่องเที่ยวขับขี่ รถจักรยานไฟฟ้าได้หรือไม่ เมียนมาร์ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติขับรถมอเตอร์ไซค์หรือรถสกู๊ตเตอร์ในประเทศ ยกเว้นรถจักรยานไฟฟ้าโดยไม่ต้องมีใบขับขี่ การขับขี่รถจักรยานไฟฟ้านั้นดีกว่าการขับขี่รถจักรยานในพุกาม เนื่องจากการขับขี่รถจักรยานจะเหนื่อยมากจากอากาศที่ร้อน ยกเว้นช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่การขับขี่รถจักรยานไฟฟ้านั้นสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำให้ไปถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้มีเวลาสำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้น การท่องเที่ยวด้วยรถจักรยานไฟฟ้าสามารถไปยังจุดหมายต่าง ๆ และแวะจอดพักได้ทุกเมื่อที่ต้องการเพื่อถ่ายภาพหรือชมวิวทิวทัศน์

สามารถเช่ารถจักรยานไฟฟ้าได้ที่ไหนบ้าง สามารถหาเช่ารถจักรยานไฟฟ้าได้ทุกที่ในพุกาม ร้านค้าและโรงแรมเกือบทุกแห่งมีบริการให้เช่ารถจักรยานไฟฟ้า แนะนำให้ลองขับขี่ก่อนเพื่อความคุ้นเคย พร้อมกับตรวจสอบว่าแบตเตอรี่บรรจุไฟฟ้าไว้เต็มหรือไม่ และควรมีเบอร์โทรศัพท์ของร้านให้เช่าเพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีที่รถจักรยานไฟฟ้าที่เช่ามีปัญหาระหว่างการเดินทาง ควรมีแผนที่พุกามซึ่งหาได้จากโรงแรมหรือร้านที่ให้เช่ารถจักรยานไฟฟ้า

ราคาเช่า รถจักรยานไฟฟ้าต่อหนึ่งวันจะอยู่ที่ประมาณ 8,000-10,000 จ๊าด ($6-$8) ในฤดูฝนราคาอาจถูกกว่านี้ และถ้ามีทักษะในการต่อรองราคาก็จะได้ราคาที่ถูกกว่านี้อีก ในช่วงฤดูการท่องเที่ยว ราคาเช่ารถจักรยานไฟฟ้าอาจสูงขึ้นเล็กน้อย ผู้เช่าสามารถเก็บรถจักรยานไฟฟ้าค้างคืนได้เพื่อออกเดินทางสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นและถ้าจะเช่าหลายวันติดต่อกันก็อาจต่อรองราคาได้เช่นกัน หากจะเช่าค้างคืน ควรแจ้งให้ทางร้านจัดเตรียมสายชาร์จให้ด้วย

เจดีย์วัดที่ควรเยี่ยมชม #01วัดอนันดา วัดสีขาวที่น่าทึ่งในความงดงามของศิลปะและหอเจดีย์สีทองทำให้วัดนี้เป็นหนึ่งในวัดที่ไม่ควรพลาดชมในเมียนมาร์ การเที่ยวชมภายในจะได้พบกับพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะน่าศรัทธาสี่องค์ โดยแต่ละองค์หันหน้าไปทางแต่ละทิศ ด้วยสถาปัตยกรรมและสีขาวภายนอก วัดอนันดาจึงเป็นสถานที่ที่น่าทึ่งสำหรับนักถ่ายภาพ

#02 เจดีย์ชเวซันดอ เจดีย์สูงห้าชั้นและมีโครงสร้างที่ตระการตาสถานที่ซึ่งไม่เคยทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมผิดหวังและประทับใจทุกครั้งที่พบเห็น แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบนเจดีย์ เป็นเพียงเดินเที่ยวชมโดยรอบก็ควรค่าแก่การเยี่ยมชม

#03 วัดธรรมะยานจี เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในพุกาม พื้นที่มีลักษณะเป็นสี่เหลียมจัตุรัสแต่ละด้านมีความยาว 77.7 ม. องค์เจดีย์หันไปทางทิศตะวันออก มีทางเข้าออกทั้งสี่ทิศ แต่ละทิศมีพระพุทธรูปประทับนั่งบนแท่นประดิษฐานคล้ายคลึงกับวัดอนันดา

#04 วัดสุลามณี วัดที่สวยงามยามเมื่อแสงแดดภายนอกส่องลอดผ่านเข้าสู่ภายในส่วนกลางของวัดจะทำให้เกิดแสงเงาที่อบอุ่นสวยงาม

#05 เจดีย์ชเวซิกอง เจดีย์ที่สร้างขึ้นสมัยศตวรรษที่ 11 และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมในพุกาม ตั้งอยู่บนยอดสามเหลี่ยมของสถาปัตยกรรมรูปทรงระฆังสะดุดตา รูปทรงขององค์เจดีย์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจึงเป็นต้นแบบให้เกิดก่อสร้างเจดีย์อื่น ๆ ในเวลาต่อมาภายในเมียนมาร์

#06 วัดทีโลมินโล   ได้ชื่อว่าเป็นวัดสุดท้ายในเมียนมาร์ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าทีโลมินโล ปี พ.ศ. 1761 สร้างขึ้นจากอิฐสีแดงมีการออกแบบคล้ายวัดสุลามานีที่กล่าวมาแล้ว

#07 วัดพยาทัดจี วัดอิฐขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใกล้กับวัดสุลามณี เป็นอนุสาวรีย์สองชั้นและเป็นไปได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่แห่งสุดท้ายของราชวงศ์พุกาม

สถานที่แนะนำเพื่อชมพระอาทิตย์ยามเช้าและเย็น ช่วงเวลาที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในการชมเจดีย์วัดของพุกามคือช่วงรุ่งอรุณและพลบค่ำที่มีแสงอาทิตย์ช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่น จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกเป็นสถานที่ที่บอลลูนลมร้อนจำนวนมากลอยผ่าน ทำให้เกิดภาพสวยงามจากบอลลูนอีกด้วย หอคอยนานมะยินหรือหอเอนแห่งเมืองอังวะ ช่วยให้เกิดภาพที่ยอดเยี่ยมและเป็นสถานที่ที่แสดงให้เห็นพุกามว่ามีความมหัศจรรย์มากแค่ไหน อีกวิธีหนึ่งที่ท้าทายในการชื่นชมทะเลเจดีย์คือการขึ้นบอลลูนลมร้อน

ข้อควรทราบขณะท่องเที่ยว

  • ควรเตรียมขวดน้ำและครีมกันแดดก่อนออกเดินทาง
  • หยุดพักและดื่มน้ำบ่อย ๆ เนื่องจากอากาศร้อนในฤดูร้อน
  • ระมัดระวังเมื่อขับขี่รถรอบเจดีย์วัดเพราะถนนหนทางค่อนข้างขรุขระ
  • ควรทิ้งขยะให้เป็นที่
]]>
มนต์เสน่ห์แห่งมัณฑะเลย์ https://tourisminmyanmar.com.mm/th/%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%99%e0%b9%88%e0%b8%ab%e0%b9%8c%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%93%e0%b8%91%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%a2/ Thu, 03 Nov 2022 10:09:32 +0000 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/?p=16288 เมื่อพวกเรามาถึงเมืองมัณฑะเลย์ครั้งแรก ความรู้สึกที่มีต่อเมืองนี้เป็นเพียงอีกเมืองหนึ่งที่คล้ายย่างกุ้ง หลังจากที่พวกเราท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ทางโรงแรมบากานคิงจัดไว้ให้ พวกเรากลับใช้เวลาพักอยู่ที่นั้นถึง 3 วัน และเต็มไปด้วยความประทับใจอย่างมากมายต่อเมืองมัณทะเลย์

หากพิจารณาด้านภูมิประเทศ เมืองมัณฑะเลย์ตั้งอยู่บนที่ราบเชิงเขาและเนินเขามัณฑะเลย์นั้นเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา ในปลายทศวรรษ 1800 เนินเขานี้เป็นศูนย์กลางทางศาสนาโดยอาณาจักรแห่งเอวา ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำอิระวดี จึงเหมาะที่จะเป็นเมืองหลวงทางตอนเหนือของเมียนมาร์ในสมัยนั้น เพื่อเป็นจุดศูนย์กลางทางการค้า แหล่งอาหาร และศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งนั่นเอง

การท่องเที่ยวเชิงทัศนศึกษาที่ทางการท่องเที่ยวนำเสนอนั้น พวกเราได้กำหนดแผนการท่องเที่ยวสองสามแห่ง  ที่คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ทิวทัศน์ และวิถีขีวิตของชาวเมืองมัณฑะเลย์ได้ดีที่สุดในเวลาอันจำกัด

เริ่มต้นก่อนรุ่งสาง

พวกเราเริ่มต้นวันแรกก่อนรุ่งสาง โดยการจ้างรถจักรยานสามล้อหรือที่เรียกว่า โทนเบน ผ่าน Grab ซึ่งจัดว่าสะดวกมาก การเดินทางไปถึงเชิงเขามัณฑะเลย์ทางตอนใต้สนนราคาที่ 3,000 จ๊าด เมื่อพวกเราไปถึงยังไม่มีผู้คนหรือนักท่องเที่ยวมากนัก การขึ้นไปบนยอดเขามัณฑะเลย์มีอยู่หลายวิธี โดยรถแท็กซี่ หรือรถจักรยานสามล้อรับจ้าง หรือบันไดเลื่อน หรือเดินขึ้นบันไดที่มี 1,700 ขั้น พวกเราตัดสินใจที่จะออกกำลังกายยามเช้าด้วยการเดินขึ้นบันได

เนื่องจากกฎระเบียบของสถานที่ไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้า พวกเราจึงต้องถอดรองเท้าเก็บใส่ไว้ในกระเป๋า เมื่อเดินขึ้นไปได้ครึ่งทาง พวกเราพบพระพุทธรูปปิดทอง บะยาเด๊กเป ที่พระหัตถ์ชี้ไปยังพระราชวังมัณฑะเลย์ หลังจากนั้นเดินขึ้นไปอีกประมาณ 40 นาที พวกเราก็มาถึงเจดีย์แห่งหนึ่งที่สว่างไสวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นคือเจดีย์ซูตองพญา

ผนังและเสาของเจดีย์ซูตองพญาปูด้วยกระเบื้องโมเสกมีลักษณะเหมือนกระจกเงาวาววับ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาอย่างช้า ๆ และฉายแสงสีทองมายังเจดีย์นี้ ทำให้พวกเราคิดว่าการเดินขึ้นเขาสูง 240 เมตรในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ยามเช้านี้นับเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของพวกเราในวันนั้น

โชคดีที่ท้องฟ้าแจ่มใส พวกเราได้ชมวิวจากมุมสูงของเมืองมัณฑะเลย์จากที่นี่ เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเยี่ยมมาก บนเขามัณฑะเลย์จะไม่แออัดด้วยผู้คนในยามรุ่งสาง และในบรรยากาศที่สุขสงบเช่นนี้ พวกเราได้เห็นผู้คนที่อยู่เบื้องล่างออกจากบ้านเรือน การจราจรค่อย ๆ เริ่มขึ้น และเห็นเมืองมัณฑะเลย์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งของวันใหม่

ขากลับลงมาจากเขา พวกเราจ้างจักรยานสามล้อผ่าน Grab เพื่อที่จะไปยังเจดีย์กุโสดอร์ต่อ สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงจากการเป็นสถานที่จัดเก็บพระไตรปิฎกที่ใหญ่ที่สุดในโลกในรูปแบบของแผ่นหินอ่อน 729 แผ่นที่จารึกคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ทั้งสองด้าน แต่ละแผ่นถูกจัดเก็บไว้ในมณฑปสีขาว ทำให้เกิดเป็นมณฑปสีขาวยอดแหลมสีทองจำนวน 729 องค์ที่จัดวางอย่างวิจิตรตระการตารายล้อมองค์เจดีย์หลัก โดยเฉพาะเมื่อมองจากด้านบนของเชิงเขา พวกเราได้เห็นกลุ่มเจดีย์เหล่านี้เมื่อไปถึงเนินเขามัณฑะเลย์และรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมาก เพราะไม่เคยพบเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน

เจดีย์ที่อยู่ใกล้เคียงกันนั้นเรียกว่าเจดีย์สัณฑมุนี เป็นเจดีย์ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี และมีสีที่ขาวใหม่มองดูกว่าเจดีย์กุโสดอร์ แผ่นหินอ่อน 1,774 แผ่นถูกบรรจุไว้ในเจดีย์ที่มีขนาดเล็กนี้ เจดีย์สัณฑมุนีมีลักษณะเหมือนกับเจดีย์กุโสดอร์แต่ขนาดเล็กกว่า และเป็นที่นิยมน้อยกว่าเจดีย์กุโสดอร์ พวกเราค้นพบเจดีย์นี้โดยบังเอิญหลังจากออกจากเจดีย์กุโสดอร์ผ่านประตูทางทิศใต้แล้วเลี้ยวขวา

แม้ว่าสถูปทั้งหลายในเจดีย์สัณฑมุนีจะตั้งอยู่อย่างหนาแน่นในพื้นที่ขนาดเล็กกว่า แต่ก็มีความเงียบสงบ เดินจากที่นั่นประมาณ 5 นาทีก็มาถึงวัดชเวนันดอ ซึ่งเป็นอาคารไม้สักที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีและรอดพ้นจากการถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

วัดชเวนันดอ มีความสวยงามอย่างมากโดยเฉพาะผู้ที่รักในงานศิลปะ ผนังด้านในและด้านนอกทุกตารางนิ้ว ประดับประดาด้วยงานแกะสลักที่วิจิตรบรรจง ถือเป็นสุดยอดงานแกะสลักไม้ของชาวเมียนมาร์ แผงไม้ภายในวัดเต็มไปด้วยภาพแกะสลักพรรณนาถึงพระชนม์ชีพในสมัยก่อนของพระพุทธเจ้าได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดียิ่ง

ย้อนมาเยือนอดีตที่รุ่งเรือง

เมื่อชื่นชมความงดงามของวัดชเวนันดอจนเป็นที่พอใจแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อโดยรถจักรยานสามล้อไปยังพระราชวังมัณฑะเลย์ซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 10 นาทีเท่านั้น พระราชวังนี้เปรียบเสมือนเป็นหัวใจของมัณฑะเลย์ ตั้งอยู่บนพื้นที่สี่ตารางกิโลเมตร ล้อมรอบด้วยคูน้ำและมีทางเข้าออกแต่ละด้าน โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมพระราชวังได้จากทางเข้าด้านตะวันออกเท่านั้น

พระราชวังมัณฑะเลย์ในปัจจุบันเป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงทศวรรษ 1990 เนื่องจากพระราชวังเก่านั้นได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระราชวังเดิมถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์มินดง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมัณฑะเลย์ในฐานะเมืองหลวงของเมียนมาร์ในปี พ.ศ. 2400 อย่างไรก็ตาม ความรุ่งเรืองของอาณาจักรพระองค์ไม่ยั่งยืนนานนักเมื่อจักรวรรดิอังกฤษบุกรุกเมียนมาร์และยึดครองประเทศในปี พ.ศ. 2428

ดังนั้นพระราชวังมัณฑะเลย์จึงถือเป็นที่ประทับของราชวงศ์กษัตริย์องค์สุดท้ายของเมียนมาร์ก็ว่าได้ ปัจจุบันนักท่องเที่ยวได้รับอนุญาตให้เดินชมพระราชวังตามทางเดินที่กำหนดไว้เท่านั้น เนื่องจากพื้นที่อื่น ๆ นั้นเป็นเขตหวงห้ามทางการทหาร พวกเราเห็นป้ายขนาดใหญ่ เขียนเตือนว่าห้ามเดินออกนอกเส้นทางที่กำหนดไว้

ถึงแม้ว่า การบูรณะพระราชวังขึ้นมาใหม่นั้นจะพยายามใช้เทคนิคและการออกแบบที่ยังคงความดั้งเดิมเอาไว้อย่างมากก็ตาม แต่พระราชวังยังคงได้รับอิทธิพลแบบอาคารสมัยใหม่ พวกเราเดินชมไปรอบ ๆ ชื่นชมกับตัวอาคารเหล่านี้สักระยะหนึ่งหลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ร้านอาหาร Mingalabar เพื่อรับประทานอาหารมื้อแรกของพวกเราในวันนั้น

ร้านอาหารแห่งนี้ได้รับการความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในหมู่คนต่างชาติและคนท้องถิ่น เนื่องจากมีอาหารหลากหลายเมนูและรสชาดที่เข้มข้นจัดจ้าน หนึ่งในเมนูอาหารยอดนิยมที่ต้องมาชิมให้ได้เมื่อมาเมียนมาร์คือแกงหมูกับมะม่วงแห้ง เนื้อหมูที่ชุ่มฉ่ำตุ๋นในน้ำเกรวี่ที่มีรสชาดเปรี้ยวจัดจ้านจากกระเทียมเป็นที่ยอมรับว่าสุดยอดมาก

หลังจากเที่ยวชมเมืองเพียงครึ่งวัน พวกเราต่างก็ตกหลุมเสน่ห์ของมัณฑะเลย์ราวกับต้องมนต์

]]>
Inle Lake, A Way of Life https://tourisminmyanmar.com.mm/th/inle-lake-a-way-of-life-2/ Wed, 21 Aug 2019 08:37:46 +0000 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/?p=14753  Inle Lake, A Way of Life

By June Franco

Most travel itineraries for Myanmar start and end with Mandalay, Yangon and Bagan – the top three tourist must-dos of the country. But if you want something a little different to brag about on Instagram, then take a detour to Inle Lake, a journey of about 6 hours from Mandalay. The clear blue water is bound to steal your heart as it is surrounded by mystic mountains home to thousands of species of animals.
About Inle Lake

Inle Lake is home to tens of thousands of people who have created a self-sustaining ecosystem that keeps the lake the centre of all activities. Families have lived, grown, and evolved with the lake, living an exciting and riparian life.

Geographically speaking, Inle Lake is the second largest lake in Myanmar covering an area of 44.9 square miles. The water rises during the rainy season but dips quite low during the dry season. Inle ranks as Myanmar’s first in the World Network of Biosphere Reserves designated by UNESCO. The lake is not overly large, but is home to innumerable endemic species including 9 species of fishes, which are not found anywhere else in the world. There are more than 20 species of snails as well. From November to January, Inle Lake is home to around 20,000 species of migratory seagulls.

Life on the Lake

Inle Lake is home to 70,000 people who live on the banks of the lake. There are mainly four towns and several small villages bordering the lake, containing people that depend on the lake for their livelihood. It is a marvel to watch how they innovative and ambitious the people are using the many resources of the lake to thrive.

There are several floating villages, and these are sights exclusive to Inle Lake. Instead of roads, people use waterways to go around by boat. Hence, there are water pathways between houses where villagers move around in boats to go to the market, fish, do their daily chores and visit relatives or neighbouring villages. The traffic in these water lanes are very high sometimes even leading to ‘boat traffic jams.’ If you do go and see them for yourself, you’ll be amazed by how easily they navigate the water channels despite the number of boats crowding the lake – and there are many!

One can find the best evidence of humanity’s peak of innovation here. As mentioned earlier, the villagers depend on water to survive, so they have created floating farms that are riverside deltas strung together with bamboo and a creative mixture of mud and reeds. The water-level of these farms rise and fall depending on the season. However, these floating farms are not easy to maintain as they require extensive labour for the crops to flourish. The water is rich in minerals needed, which provide fertility to the plants. Several kinds of vegetables are grown in these farms including eggplants, squash and string beans.

Inle Lake is also famous for its floating market where the people both from the land and lake, gather to sell and trade their products. One can find everything here from fresh vegetables to silver jewellery, food ingredients and even compost, which can be manipulated into land fertiliser! The options are many here and you will often see farmers working their lands in the midst of the market commotion.

Apart from the floating market, Inle Lake is also famous for a 5-day market, which is held in turn among 5 villages located beside the lake.

The fishermen of Inle Lake go about fishing using a rowing technique one-legged rowing technique that stands out for the simple reason you won’t find this practised anywhere else. This tradition was started back in the 12th century, when fishermen had to stand while rowing to get a good look for their catch and navigate past reeds. They stand on one leg and lock the other with the paddle, using the same leg to row the boat forward and direct the boat. It is an uncommon rowing custom but has garnered the interest of visitors to the lake.

Discover the unknown

Inle Lake sustains many villages, and these humble huts are where you can be exposed to the lives of the local people, unhindered by modernisation. Indein Village is a famous village, which is also one of the locations of the 5-day market. It is the revered site of ancient pagodas grouped together – Shwe Inn Thein Pagoda and Nyaung Ohak Pagoda. The Shwe Inn Thein pagodas were constructed in the 3rd century BC and consist of hundreds of stupas with a shrine of Inn Thein Buddha in the centre. The Nyaung Ohak Pagodas are ancient structures with historical value and grouped in a surreal-looking jungle village.The place gives an eerie feeling with sculptures of celestial beings and mythological animals engraved in the pagodas, and even the dark corners feel a little spooky in daytime.

If you’re a cat lover, you’ll adore the breeding house of purebred cats of Myanmar. These were facing the threat of extinction until a few years back. The cat village in Inle is currently running a conservation project to preserve the pure breed, so you can drop by and play with the mischievous felines. They love a good exercise now and then, so it’s a complete haven for feline lovers!

The best of nature

Discover the other part of Inle Lake; beautiful hills that offer several trails where one can enjoy a pleasant trek. A hot spring is located only 45 minutes away from the lake and presents a serene landscape, away from the general crowd. A casual walk around the lake will also open your eyes to the best of nature. Some travellers also hire bicycles to ride around and see how far the lake stretches.

Inle Lake is not merely a lake, it is a way of life that leaves you yearning for more. In a mix of creek villages, farmlands, hilly mountains, artisan factories, and the village people, Inle lake exceeds tourist expectations in every way, filling the traveller with a feeling of awe for the native plains and a craving to return for more.

 

]]>
The Biological Wonder of Myanmar https://tourisminmyanmar.com.mm/th/the-biological-wonder-of-myanmar-2/ Mon, 19 Aug 2019 04:13:33 +0000 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/?p=14906 The Biological Wonder of Myanmar

by Andrea Johnson

Inle Lake is a destination of remarkable beauty. The Intha people live here, popularly known for their distinguished one-legged boat rowing technique. With a magical touch to its nature and environment, Inle Lake is teeming with a healthy biodiversity, ranging from lush, green trees to rare animal species that are under safe protection. This lake is also Myanmar’s very first site to be listed by UNESCO under the World Network of Biosphere Reserves.

Rich Aquatic Life Form

The aquatic lives play an active role in flourishing the waters of Inle Lake as well as the Intha people. Packed with various common and exotic aquatic species, Inle Lake sees a harmonious mix among the animals and plants as the ecosystem depends on each other. As a crucial fishing ground to the locals, the lake is one of the world’s most fertile environment. Inle carps are common in the lake and are the Inthas’ main source of food and income. The lake is also home to more than 20 snails species and 9 types of fish that can only be found in this part of Myanmar. Some of them are the silver and blue scaleless Sawbwa barb, dwarf danio and Inle Lake Danio.

Floating Gardens Of Inle Lake

Inle Lake is very fertile, making its surroundings ideal for paddy plantation with a convenient and constant flow of lake water. Besides fishing, the Inthas also manage special floating gardens of tomatoes, long beans, eggplants and squash. The locals have been using the hydroponic method for generations to sustain themselves, which is an impressive and advanced method used by the villagers.

Tourists will be surprised to find many floating gardens on Inle Lake. The harvest is also done by the locals, and they would be sold along with the fish they caught in the morning. An intriguing fact is that some of the farmers sell their gardens directly as a whole land.

Protector of Endangered Species

Inle Lake Wildlife Sanctuary was established in 1995. Tasked to be one of Myanmar’s most prominent protected sites of endangered plants and animal species, the lake is also named as one of the ASEAN Wildlife Heritage Park. There are rare orchids, woodland and wetland birds, uncommon insects and amphibians, snails and also the worldwide-endangered sarus cranes.

To ensure its abundance in flora and fauna is protected and enjoyed, jungle-trekking is encouraged to allow tourists to witness and appreciate these amazing living creatures up-close. This educational tour will inspire young bloods to work towards protecting the environment and the biodiversity living in it.

The mountain range that aligns around Inle Lake makes the place look even more cheerful with the birds lifting into the air against the backdrop of the glowing sunset. Tourists can make a pit stop at one of these places to watch the panoramic view of the mountains lining the horizon.

Inle Lake is a wondrous tourist destination with an even greater cause. The rich wildlife in this area serves as a reminder that the environment should be looked after by locals and tourists alike. Tourists visiting Myanmar should make a visit to Inle Lake to witness the amazing biodiversity that this state has to offer.

 

]]>
10 อาหารเมียนมาร์ที่ต้องลิ้มลอง https://tourisminmyanmar.com.mm/th/10-myanmar-food-you-must-try-2/ Mon, 19 Aug 2019 03:47:19 +0000 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/?p=14903 เมียนมาร์กำลังจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่นักท่องเที่ยวใฝ่หาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่อง จากความใหม่สดของสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้เปิดรับนักท่องเที่ยวมากนัก คาดว่าจะเริ่มเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากประเทศเริ่มเป็นที่รู้จักในระดับโลก เจดีย์วัดที่สวยงามเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะยังมีธรรมชาติที่น่าทึ่ง กลุ่มชาติพันธุ์ที่แปลกใหม่ เทศกาลที่มีสีสัน และที่แน่นอนคืออาหารเมียนมาร์

ปัจจุบันอาหารในเมียนมาร์ยังไม่เป็นที่รับรู้เท่าที่ควร แต่เมื่อนักท่องเที่ยวที่ได้ลิ้มลองอาหารของเมียนมาร์แล้วต่างยอมรับในความอร่อยของรสชาดอาหารว่าเกินความคาดหมาย เอกลักษณ์ของอาหารในเมียนมาร์ต่างจากอาหารในที่อื่น ๆ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากอาหารอินเดียและอาหารจีน พร้อมกับการพัฒนารูปแบบและรสชาดตามวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของชาวเมียนมาร์ นักท่องเที่ยวจะรู้สึกทึ่งกับรสชาดที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์หลังจากที่ได้ลิ้มลองแล้ว

การรับประทานอาหารเมียนมาร์ไม่ได้เป็นเพียงการลิ้มลองรสชาดเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความอบอุ่นและความทุ่มเทที่ใส่ใจในปรุงอาหารทุกจานด้วยภูมิปัญญาที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน

ละเพะโตะ

เป็นอาหารเมียนมาร์ที่ขึ้นชื่อในการใช้ใบชาประกอบอาหาร เรียกว่ายำใบเมี่ยง หรือยำใบชา จัดเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย และยังเป็นอาหารว่างที่ขึ้นชื่ออีกด้วย มีรสขมเล็กน้อยเข้ากันได้ดีกับซอสท้องถิ่นรสเปรี้ยว ประกอบด้วยมะเขือเทศ กะหล่ำปลี มะนาว และซอสหวาน โรยด้วยถั่ว นักท่องเที่ยวต่างชื่นชอบในรสชาดของละเพะโตะ

โมฮิงกา

ชาวบ้านนิยมทานโมฮิงกาเป็นอาหารมื้อเช้า น้ำซุปปลากับเส้นแป้งสีขาวที่คล้ายเส้นขนมจีนของไทยอาจมองดูแปลก ๆ ตาเมื่อแรกเห็น แต่เมื่อลิ้มลองอาหารจานนี้จะประทับในรสชาดและกลิ่นหอมของถั่วลูกไก่ ขมิ้น และตะไคร้อย่างมาก อาจเติมพริกเพื่อเพิ่มรสชาดเผ็ดร้อนสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสเผ็ด

ผัดเต้าหู้ถั่วลูกไก่

ผู้ที่ทานอาหารเจจะต้องชื่นชอบขนมนี้อย่างแน่นอน เต้าหู้ถั่วลูกไก่จะถูกทอดจนกรอบนอกนุ่มใน เพื่อให้เกิดผิวสัมผัสที่นุ่มนวลขณะขบเคี้ยว และจะยิ่งเพิ่มรสชาดเมื่อจิ้มเต้าหู้ถั่วลูกไก่กับซอสรสเผ็ดหวานที่เข้ากันได้อย่างกลมกล่อมลงตัว

ก๋วยเตี๋ยวฉาน

เป็นก๋วยเตี๋ยวที่มีถิ่นกำเนิดที่รัฐฉาน การรับประทานทำได้ 2 แบบ แบบแรกก๋วยเตี๋ยวแห้ง ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อไก่ มะเขือเทศ ขมิ้น และถั่วลิสง  ก๋วยเตี๋ยวแห้งนี้มีรสเปรี้ยวและเผ็ดผสมผสานกับกลิ่นของถั่วลิสง เป็นรสชาดเฉพาะที่หาทานไม่ได้ในที่อื่น ๆ เอกลักษณ์เฉพาะของก๋วยเตี๋ยวแห้งคือรสชาดที่เข้มข้น แบบที่สองก๋วยเตี๋ยวน้ำ จะทานคู่กับซุปน้ำใสและเต้าหู้ถั่วลูกไก่ที่ร้อนกำลังน่ารับประทาน

โม่ง ลิน มายา

ขนมครกไข่นกกระทาที่คนท้องถิ่นเรียกว่าขนมคู่สามีภรรยา ลักษณะเป็นแป้งข้าวสองฝาแผ่นประกบกันมีไส้ประกอบด้วยไข่นกกระทา ต้นหอม เครื่องเทศ และถั่วลูกไก่ จัดเป็นขนมทานเล่นของว่างง่าย ๆ ที่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วต่างติดอกติดใจกันอย่างมาก

สตรีทแพนเค้ก

นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินกับแพนเค้กขนาดเล็กร้อน ๆ ที่แสนอร่อย ทำตามสั่งโดยพ่อค้าแม่ค้าอย่างเป็นกันเอง มีรสหวานและเผ็ดนำ ขนมขนาดเล็กทำให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาดทั้งหมดได้ในหนึ่งคำ นักท่องเที่ยวที่ได้ทานขนมนี้ต่างชื่นชอบในความกรอบของขอบขนมและเนื้อที่นุ่นนิ่มหนึบหนับ ไข่และถั่วสามารถใส่เติมได้เพื่อเพิ่มรสชาด

งาทมิน (ข้าวฉาน)

เป็นอาหารขึ้นชื่อของชาวไทใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชื่นชอบ ข้าวคลุกขมิ้นกับปลาถูกปั้นเป็นก้อน ข้าวจึงมีสีเหลืองจากขมิ้นและรสชาดโดยรวมถือว่าไม่ธรรมดาเลย ความมันของข้าวปั้นผสมผสานกันได้อย่างลงตัวกับผักและเนื้อผัด ราดด้วยเนื้อปลาและน้ำมันกระเทียมที่หอมกรุ่น

ยำตีนไก่

จัดเป็นอาหารที่แสนอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อุดมไปด้วยคอลลาเจน ยำตีนไก่ในเมียนมาร์แตกต่างจากของประเทศอื่นๆ วิธีการปรุงของชาวเมียนมาร์นั้น จะเน้นใช้งา มะนาว น้ำส้มสายชู น้ำตาลทรายแดง และซีอิ๊วขาว ยำตีนไก่จึงมียืดหยุ่นและมีรสชาดที่แปลกแตกต่างควรค่าแก่การลิ้มลอง

น่านจีโตะ

หนึ่งในเมนูก๋วยเตี๋ยวแห้งที่แสนอร่อยของเมียนมาร์ เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ใช้ในน่านจีโตะนั้นต่างจากก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กทั่วไป เส้นจะมีความหนากว่า ทานกับเนื้อไก่สับ ลูกชิ้นปลา ถั่วงอก และไข่ต้ม นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบอาหารรสเผ็ดสามารถเติมน้ำมันพริกเพื่อเพิ่มความจัดจ้านให้กับน่านจีโตะได้อีกด้วย

นีนโท

เป็นอาหารที่นิยมในชนบทของเมียนมาร์ ตามธรรมเนียมแล้วมักจะเสิร์ฟบนใบตอง นำข้าวสวย หอมใหญ่ กะหล่ำปลีห่อรวมเป็นห่อ ๆ และนำไปนึ่งทำให้มีกลิ่นหอมของส่วนผสมต่าง ๆ เมื่อนำไปผัดกับขมิ้นและพริกจะเพิ่มรสชาดขึ้นอีก

นักท่องเที่ยวที่คาดหวังว่าจะได้พบเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ จากเมนูอาหารที่หลากหลายในเมียนมาร์นั้นจะไม่ผิดหวังไปพร้อมกับการท่องเที่ยวทัศนศึกษาทางวัฒนธรรมและประเพณีของเมียนมาร์ ในแต่ละวันของการท่องเที่ยวจึงมักจะเพลิดเพลินกับอาหารแต่ละมื้อด้วยความเอร็ดอร่อย

]]>
Miracles In Mandalay https://tourisminmyanmar.com.mm/th/miracles-in-mandalay-2/ Thu, 15 Aug 2019 03:49:41 +0000 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/?p=14864 Miracles In Mandalay

by Carol Rudy

I can’t get enough of Mandalay. Ever since reading The Glass Palace by Amitav Ghosh, my curiosity was evoked to conduct further research. After gaining a better understanding on Myanmar, I was intrigued by Mandalay and the idea of travelling to such a ‘new’ country in terms of its tourism industry. I liked that the place was not overdone; food and attractions were advertised as they were and was not overly commercialized; Locals continue to live a life rich with tradition and religious fervour.

I started my day early by walking around town. The first thing I noticed was how the people of Myanmar wore skirts for any occasion in the day – men in striped pasoe and women in brightly coloured htamein casually going about. It turned out that most of them prefer wearing their longyi over trousers because it doesn’t restrict their movement as much.

I visited the Mandalay Palace and was smitten by how magnificent it looked. It was huge! The roof looked amazing, with its design reflecting the cultural identity of the country. The palace grounds were wide and spacious while being surrounded by palace buildings, which reminded me of the Forbidden City in China. It was a waste that the palace was rebuilt due to a fire that burnt down most of its original structure. Only Shwenandaw Monastery remained intact despite the burning incident, making it one of the longest-lasting monasteries in Myanmar. The overall environment of the monastery was peaceful and quiet. In the afternoon, I went to the Cultural Museum and saw the belongings, furniture and materials used by King Mindon, one of Myanmar’s most popular and respected kings, and King Hsibaw, the last king of Myanmar. There are also paintings by Saya Chone, the royal court painter of King Thibaw.

Next, I went to Kuthodow Pagoda that is at the foot of Mandalay Hill. When I entered the pagoda from its south entrance, I saw huge teak doors delicately carved with scrolls, nats and floral designs. The amount of handiwork required to create these doors must be exhaustive, given how detailed the each design was. Stepping inside, I was excited to finally witness the World’s Largest Book. The book was actually in the form of huge marble slabs inscribed with teachings of Buddha. There were 729 marble slabs kept in individual stone-inscription caves placed in the grounds of the pagoda. I was surprised to see families casually having picnics by the pagoda, and discovered later that it was common for the locals to spend a leisurely time at these religious sites.

As late afternoon arrived, I began climbing up Mandalay Hill. My journey to the top took 30 minutes. Everyone had to climb barefoot as there were several other temples and monasteries along the way. The heat on the ground was bearable, so I enjoyed my hike up the hill. I befriended a young monk who impressed me with his English skills, offering to accompany foreign tourists to the top in exchange for a humble request – to learn new English words from them. His love for learning was truly inspiring.

When I reached the peak, the view took my breath away. I was just in time for the sunset, and as I watched the orange hue of the sun inched to hide behind the hills while the sky slowly changed colours from red to yellow, and violet to blue. As I looked upon Mandalay City from the hill, I realised its location was in an ideal position for sunset-viewing, along with the panoramic view of the entire city..

I enjoyed myself so much that I insisted on squeezing one more destination into my schedule before calling it a day. The U-Bein Bridge at Thaungthaman Lake that was believed to be the oldest and longest teakwood bridge in the world, measuring 1.2km in length. With the stillness of the lake surrounding the bridge, it appeared to be floating from far. It was amazing to walk on a bridge that was built between 1849 to 1851 – the structure was so stable, and I was even more impressed to discover that Myanmar engineers actually counted footsteps to measure the scale of the bridge before it was constructed. That must have taken a long time!

After exploring some of Mandalay’s best locations in a day, it was one of the best adventures I ever had. My love for this city grew as I witnessed for myself the authenticity and beauty of this place. The pagodas highlighted the locals’ strong faith in Buddhism, and the palace was evidence of a established kingdom that once flourished in the city. It was an eye-opening experience to the glory of Myanmar’s past yet the locals maintained humility, showing me warmth and kindness. It was a fulfilling visit to Myanmar and Mandalay is indeed worth a visit!

 

 

 

]]>
Putao: Tranquillity in the Snow-capped Himalayas https://tourisminmyanmar.com.mm/th/putao-tranquillity-in-the-snow-capped-himalayas-2/ Thu, 15 Aug 2019 03:40:08 +0000 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/?p=14861 Putao: Tranquillity in the Snow-capped Himalayas

By Amy Nair

My husband and I have been married for ten years, and to celebrate this milestone we decided on a romantic getaway. The thing with us and our holidays is that we love to go to less crowded places and yet not miss out on all that new destinations have to offer. We zeroed in on Myanmar, a country mysterious enough that it has stayed special and away from the usual tourist foot traffic.

A Cute Hill Station

Putao is a small hill station surrounded by green valleys and snow-capped Himalayan peaks. Tucked away in the northern corner of the country, the town extends across several hills.

Putao is sparsely populated, so you’ll hardly see anyone when you’re there. Truly speaking, we saw more cows than cars when we were there. But it only contributed to the carefree atmosphere as we walked around the hilly roads and enjoyed the view . Putao was a treat for us.

Getting to Putao

We landed at Yangon International Airport and took a domestic flight to Putao Airport. The flight from Yangon to Putao had a stop at Myitkina, probably because of the lack of passengers. Putao is a restricted area, thus it can only be reached by air if you’re a foreigner. The airport is located quite near the city, so it wasn’t difficult to book a taxi to our hotel.

Getting Around in Putao

The hills reached for miles and walking was the only way we got around. The option to rent a bicycle was also available from the nearby town, but the air was just too good to miss out on. As a hill station, the air there was a refreshing breeze that lifted my spirits greatly, and it was truly a liberating encounter.

Many areas of Putao are restricted for foreign tourists, so we made sure to stay clear of them once the staff at our hotel informed us.

Amazing Views

Being surrounded by snowcapped mountains alone in a distant hill has its charm and we enjoyed it immensely. We saw the famed Hkakaborazi Mountain at a distance on one of the days when the skies were clear. The area around this tiny town is full of astounding flora and fauna, some of which I have never seen in my life. We went in search of the rare and famous Black Orchid species which was known to grow around, but could not found any, unfortunately.

Our guide told us that these were usually situated further in the forests, but as it was getting dark we did not take up his offer.

Trekking at Putao

I am not much of a trekker, thus we never intended to trek in Putao. However, the lush green forests beckoned to me the next day and I was feeling particularly adventurous, so we ended up trekking anyway. We got a guide from our hotel who took us around the forests. There were many hiking routes with varying difficulties. We chose the easiest path since I wasn’t very familiar. We created our own routes, slipping through trees and bamboo groves. There were a few mossy areas along the slopes which were quite slippery, so we fashioned walking sticks from the broken branches on the ground to help stabilise our footing. Overall, it was fun.

Friendly Locals

The inhabitants of Putao mostly belong to Kachin, Lisu and Rawang ethnic groups. They are simple people and greet tourists the area with warmth. I cannot think of one unpleasant encounter we had in the five days we spent in the town.

Shopping at Putao

As an avid traveller, I liked to pick mementoes in places I visited from our friends and family back home. The matching gifts I found were unique handicrafts made by the Kachin ethnic group, which featured different types of bamboo-woven baskets. I also bought some local cookies and chocolate. There were also shops that sell woollen garments in Putao and hiking equipment for the adventurous souls that wish to attempt the climb up to Mount Hkakaborazi.

We had a memorable time at Putao exploring the the small rivers that flowed between the villages and pebbled roads where the local people would pass by and offer us a greeting. It was a welcome break from our busy schedule. These five days away from the world was a peaceful getaway with happy memories that we would remember and keep close to us.

 

 

]]>
Sweet Escape https://tourisminmyanmar.com.mm/th/sweet-escape-2/ Wed, 14 Aug 2019 10:04:10 +0000 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/?p=14837 Sweet Escape

by Carol Rudy

Desserts are a universal treat – no one can say no to them. Desserts in Myanmar are distinctive and addictive in the sweetest way. With plenty of palm sugar involved, these sweet delights are the perfect finishing touch to a hearty local meal. These treats are mostly influenced by Indian cuisine, but this gives Myanmar desserts a flavourful twist that always tempts tourists for more.

Shwe Yin Aye

Imagine walking along the streets of Yangon for hourxs, with the hot sun mercilessly beating down on your exhausted body. Shwe Yin Aye, a type of iced dessert popular in Myanmar will be perfect to quench your thirst. This milky dessert tastes heavenly with the balanced mix of sticky rice, coconut milk jelly, palm sugar, tapioca seeds and ice. Have one bowl of this heavenly dessert by the roadside and you will find yourself recharged again for a whole new adventure.

Sanwin Makin

This is a traditional Myanmar sweet that is inspired by semolina desserts from India. You can easily find them sold on the street. You will also notice the mouth-watering sweet scent of coconut milk and sugar before you even spot the cake stall. The half-crispy, half-fluffy texture of this sweet topped with poppy sweets is dangerously addictive.

Jaggery

Myanmar is famous for its palm sugar, which is why jaggery is a huge craze in the country. Made from sugarcane, these little jaggery spheres are simple and yummy sweets perfect for those who prefer lighter desserts. You can pop one or two jaggery sweets in your mouth, let them melt, and savour the natural sweetness and an energy boost. They are also available with coconut flakes and black sesame seeds.

Yoghurt Drink

Nothing feels better than sipping on a cool, thirst-quenching glass of yoghurt in the unbearable Myanmar heat. This simple yet delicious drink is popular among tourists and the locals who drink this as a cooling agent. The drink is modified with a Myanmar twist, so you will taste the fragrant flavour of palm sugar syrup instead of the ordinary sweetness of plain sugar. If you are feeling adventurous, add sticky rice, coconut flakes and chocolate fudge into your yoghurt. Be warned, it will be super sweet!

Jangiri

Jangiri is a sweet made from milk and flour. To achieve a pleasant, sweet flavour, these jangiri balls are then soaked in sugar syrup. Originating from India, jangiri has found its spot among locals and tourists’ favourite desserts, making this a tasty and well-loved hybrid of Myanmar-Indian dessert.

Laddu

Laddu is another Indian dessert that has made its way to the palate of Myanmar people and tourists in the country. Made of semolina flour, ghee and sugar, this ball-shaped dessert comes in assorted flavours such as chocolate, strawberry and milk. The size of this dessert also varies, with the smallest being the size of a lollipop. It is the most convenient dessert to pick if you prefer walking around the market while savouring a sweet snack.

To fully experience Myanmar is to try its famous sweets and desserts. Tourists can easily find these sweets shops along the streets of Myanmar and night markets. Some locals are even friendly enough to let you sample on the desserts before purchasing as long as you ask politely. These desserts are only available in Myanmar, especially those that are made upon order, so don’t miss out on any of them!

]]>
Traditional Myanmar https://tourisminmyanmar.com.mm/th/traditional-myanmar1/ Wed, 14 Aug 2019 09:48:37 +0000 https://tourisminmyanmar.com.mm/th/?p=14832 Traditional Myanmar

By Amrita Kundu

With the amalgamation of 135 ethnic groups, Myanmar is a mix of various culture and tradition. Aside from that, the country boasts a number of unique traditional products and customs which are excellent options to explore for a tourist.

Thanaka

In Myanmar, you will often see women with yellow paste on their cheeks. It is called Thanaka, a paste made from the bark of several trees that grow in Myanmar. The barks are ground on a flat circular stone to make the paste. However, today, thanaka powders and creams are readily available for easy applicability as Thanaka prevents the skin from sunburn and radiates a healthy glow.

Hand-Woven Products

Weaving is a common practice among the locals of Myanmar. From fine silk to cotton, one can find a variety of woven industries in Myanmar. However, the most unique among them is Lotus Weaving – a traditional handicraft practised by the inhabitants of Inle Lake. Lotus stems are taken and the fine threads are extracted before being woven into beautiful garments.

Traditional Dress

Each of the 135 ethnic groups has their own traditional dressing. Generally, most locals wear Longyi, a versatile cloth that can be wrapped around the waist. However, there is a distinct difference for wearing the garment between men and women.

Men wear the Longyi (locally known as Paso) by making two folds and tucking it in the waist. Pasos are usually striped or checked. The women wear their Htamein (the local name for Longyi worn by women) with just one fold and match it with a fitted blouse. Htamein is usually available in floral and coloured designs.

Puppet

Another integral feature of Myanmar is puppets. The culture of puppets in Myanmar date back to around 11th century – 15th century when wooden puppets were used as a major form of entertainment by the royals of the country. Myanmar has regular traditional puppet shows featuring mythological stories and modern-day plays.

Chinlone

Chinlone is the national sport of the country where there are no opposing teams. A group of people play this together where they try to keep a cane ball off the ground as long as possible. It is a fun and non-competitive game which is enjoyed by all.

Pathein Umbrella

This unique umbrella is specific to Pathein, the capital of the Ayeyarwady Region of Myanmar. The canopy of the umbrella is made with silk and cotton where beautiful floral designs are painted on. The rib and the shaft of the umbrella are made from bamboo. This beautiful umbrella is a representation of the feminine beauty of the country, and is an ideal item to pick up as a memento from the country.

Betel Nut

If you roam around Myanmar, you will find betel nut in every nook and corner of the country. Commonly known as Kun Ya, a betel nut is wrapped up in betel leaf along with slaked lime and eaten. The additional items added in the betel leaf vary from one shop to another and can include tobacco, chilli and jam.

Cigars

Cigars or Cheroots is another unique tradition of Myanmar. The roll is made from the dried leaf of Thanet Phat or corn, whereas the inside of the roll consists of dried wood and tobacco. Locals roll the cheroot in their own style, adjusting the tobacco level and the size of the cigars. The tropical zones of Myanmar have an abundance of Thanet leaves.

Exploring the local culture is highly recommended if you are in Myanmar. Try the local products, pick up some mementoes and roam around the country to get a full experience of everything that a tourist can crave for.

]]>